วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552
เครือข่ายสหกรณ์อิสลามภาคใต้เปิดรับโครงการเมืองไทยตะกาฟุล
การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในกรอปความร่วมมือระหว่างเมืองไทยตะกาฟุลและเครือข่ายสหกรณ์อิสลามภาคใต้
ในด้านการให้บริการเมืองไทยตะกาฟุลแก่พี่น้องมุสลิมโดยมีท่านอาจารย์อรุณ บุญชม ประธานคณะกรรมการเมืองไทยชารีอะห์เป็นหัวหน้าคณะทำงานของเมืองไทยตะกาฟุล และ ตัวแทนจากเครือข่ายรวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาหลายท่านเข้าร่วม อาทิเช่น รศ.ดร.อิสมาแอล อาลี ผู้อำนวยการอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี ดร.มะรอนิง สาแลมิง ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิกฮ์ซึ่งเป็น อ.ประจำวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี ดร.อับดุลฮาลิม ไซซิง คณบดีคณะอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามยะลา เมืองไทยตะกาฟุลเป็นโครงการของบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เพื่อให้บริการที่ถูกต้องตามหลักการอิสลามแก่พี่น้องมุสลิม
โดยเล็งเห็นว่าโครงการตะกาฟุลที่เป็นที่ยอมรับในประเทศมาเลเซียเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องมุสลิม จึงดำเนินการเพื่อให้บริการที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องมุสลิมในประเทศไทยบ้าง โดยใช้หลักของการมอบอำนาจให้บริษัทเป็นผู้บริหารจัดการ ในฐานะที่บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีความมั่นคง ในการประชุมดังกล่าวได้มีการหารือในด้านหลักวิชาการศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของเมืองไทยตะกาฟุล ทั้งนี้ อ.อรุณ บุญชม ประธานคณะกรรมการเมืองไทยชารีอะห์ ได้กล่าวว่า “การประชุมดังกล่าวเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย เนื่องจากเป็นการประชุมเพื่อหาข้อสรุปในแนวทางการดำเนินการร่วมกัน ในช่วงเริ่มต้นการดำเนินการในหลายๆด้านต้องดำเนินการตามที่ได้รับอนุญาต อาจจะไม่ได้ดังใจทั้งหมด แต่หากเราร่วมมือกันและเข้มแข็ง เสียงของเราก็จะดังขึ้น กฎระเบียบต่างๆ ก็อาจเป็นไป ตามที่เราต้องการได้” ขณะเดียวกัน อ.บรรจง บินกาซัน กรรมการเมืองไทยชารีอะห์ และนักแปล นักเขียนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ ให้ได้ข้อคิดเห็นว่า “อยากให้มองว่าตะกาฟุลเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่ามองว่าเป็นเรื่องซื้อ-ขาย ทุกๆฝ่ายได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้และขอให้เหนียตว่าเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะทำให้กลุ่มเหนียวแน่นและมั่นคงขึ้น” การประชุมดังกล่าวเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ เจาะลึกเรื่องการดำเนินการของเมืองไทยตะกาฟุลว่าดำเนินการได้ถูกต้องตามหลักศาสนาอย่างไรบ้าง จะมีการนำมาปรับใช้กับวิถีชีวิตมุสลิมและการดำเนินงานของสหกรณ์ได้อย่างไร ตลอดการประชุมมีการถาม-ตอบและแบ่งปันข้อคิดเห็นซึ่งกันและกันจากท่านผู้รู้ในสาขาต่างๆ
และสามารถสรุปได้ว่า ว่าจะมีสหกรณ์บางส่วนดำเนินการนำร่องไปก่อน แล้วแต่สหกรณ์ไหนจะรับอาสา ทั้งนี้รศ.ดร.อิสมาแอล อาลีได้แสดงความคิดเห็นกับสำนักข่าวมุสลิมไทยต่อตะกาฟุลว่า
“ในปัจจุบันเรื่องประกันมีความจำเป็นและเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิต มนุษย์มีความต้องการในเรื่องต่างๆมากขึ้น อย่างไรก็ดีให้พิจารณาดูว่าอันไหนถูกต้องมากที่สุดก็สนับสนุน ไม่ใช่คำนึงถึงผลประโยชน์ ให้สนับสนุนตามหลักการ แนะนำว่าสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้แก้ไข และให้รับและนำไปเผยแพร่ ผลักดันสิ่งที่ดีที่สุด
ขณะเดียวกันก็ให้พิจารณาดูที่ปรึกษาด้วย ที่ปรึกษาไม่ใช่แค่เป็นมุสลิมเท่านั้น แต่ต้องรู้ละเอียดเกี่ยวกับการประกันและหลักชารีอะห์ ตลอดจนดูแลการดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักอิสลาม”
อาจารย์อรุณ บุญชม
บรรยากาศการประชุม
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552
ก้าวสำคัญของ ibank ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยความหวังของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
![]()
พล.ท.สมชาย วิรุฬหผล ประธานกรรมการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
เมื่อวานนี้ พล.ท.สมชาย วิรุฬหผล ประธานกรรมการ พร้อมด้วย คุณสัญญา ปรีชาศิลป์ ผู้จัดการส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและสื่อสารองค์กร ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าภาพเลี้ยงขอบคุณคณะสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ที่ห้องอาหารมุสลิมชื่อดัง สินธรสเต็ก (www.steaksinthorn.com)
โดยมีสื่อเข้าร่วมงาน ดังเช่นสำนักข่าวมุสลิมไทย (www.muslimthai.com), หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ, หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ, หนังสือพิมพ์เดะพับลิค, หนังสือพิมพ์กัมปง, และนิตยสารนิสา ภายหลังที่การจัดงานเปิดตัวภาพลักษณ์ใหม่ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย IBank เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูง

ซึ่ง พล.ท.สมชาย วิรุฬหผล ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวมุสลิมไทยในประเด็นต่างๆ อย่างน่าสนใจ
ความคืบหน้า อิสลามมิกบอนด์
ท่านได้กล่าวว่า Ibank มีแผนระดมทุนออกพันธบัตรอิสลามมิก หรืออิสลามมิกบอนด์ โดยมีธนาคารอิสลามฯ เป็นที่ปรึกษาการเงิน จากการเดินทางไปตะวันออกกลาง มีนักลงทุนจากคูเวตสนใจเข้ามาลงทุนซื้ออิสลามมิกบอนด์ ซึ่งออกโดยรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เช่น ปตท. กฟผ. โดยต้องการซื้อประมาณ 3,000 ล้านบาท และนักลงทุนจากดูไบมีความประสงค์ต้องการซื้อประมาณ 200 ล้านบาท โดยคาดว่าในอนาคตอิสลามมิกบอนด์จะได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ทาง ธนาคารอิสลามฯ เองจะต้องระดมทุนจากประเทศอาหรับและประเทศมุสลิมให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของภาครัฐ ดังเช่นสายการบิน หรือแม้แต่โครงการขยายรถไฟฟ้าสายต่างๆในกรุงเทพมหานคร
กรณีการทำธุรกิจส่งออก และธุรกิจอาหารฮาลาล มีวงเงินค้ำประกันสูงถึง 3,000-5,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงิน ในการเปิดแอลซีกับผู้ส่งออก นอกจากนั้น ธนาคารอิสลามฯ ยังมีแผนในการเปิดสาขาที่ดูไบและบาห์เรน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจไทยในตะวันออกกลางอีกด้วย
การตอบรับจากลูกค้ามุสลิม
ปัจจุบันนี้กลุ่มลูกค้าหลักของ ธนาคารอิสลามฯ เป็นลูกค้ามุสลิมกว่า 60% นอกนั้นจะเป็นลูกค้าต่างศาสนิก ในการทำธุรกรรมทางด้านการเงิน เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วน จะมีมุสลิมมาใช้บริการกับทางธนาคารประมาณ 40% โดยทางธนาคารอิสลามฯ หวังว่าในอนาคตจะมีมุสลิมมาใช้บริการมากยิ่งขึ้น

คณะสื่อมวลชน
การพัฒนาบุคลากรของ Ibank
ผู้สื่อข่าวมุสลิมไทยสอบถามเกี่ยวกับพนักงานในองค์ ซึ่งได้คำตอบว่า ธนาคารอิสลามฯ ยังคงต้องพัฒนาบุคลากรต่างๆอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันนี้พนักงานของธนาคารอิสลามฯ จะเป็นมุสลิมประมาณ 65% พุทธศาสนิกชน 33% ทั้งนี้มีพนักงานที่นับถือศาสนาคริสต์ด้วยประมาณ 2%
พร้อมกันนั้น ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าจากกลางปีที่แล้ว แม้ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรฐกิจ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ได้รับพนักงานเพิ่มกว่า 100 ตำแหน่ง และภายในปีนี้จะรับเพิ่มอีกกว่า 50 ตำแหน่ง ซึ่งผู้สนใจที่จะร่วมงานกับทางธนาคารอิสลามฯ สามารถติดต่อรับขอรับใบสมัครงานตามสาขาของธนาคารอิสลามฯ ใกล้บ้าน
ผลประกอบการของธนาคารฯ
ปี 2551 ธนาคารมีผลกำไรกว่า 40 ล้าน ทั้งนี้ในปี 2552 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยคาดการว่าจะมีผลกำไรประมาณ 200 ล้านเป็นอย่างน้อย พร้อมกันนั้นธนาคารมีแผนที่จะเปิดสาขาต่าง อย่างน้อย 4 สาขา ดังเช่น ที่จังหวัดอยุธยา,นครศรีธรรมราช,กรุงเทพ สาขาแจ้งวัฒนะ
ในเร็วๆนี้ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จะมีธนาคารเคลื่อนที่หรือ Ibank Mobile เพื่อคอยให้บริการรับ ฝาก ถอนและบริการธุรกรรมต่างๆ กับพี่น้องมุสลิม ยังมัสยิดและงานต่างๆ โดย Ibank mobile จะมีสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์องค์กรได้เป็นอย่างดียิ่ง
ความร่วมเรื่อง Islamic Index กับตลาดหลักทรัยพ์แห่งประเทศไทย
สำหรับนักธุรกิจมุสลิมที่สนใจเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามฯมีข่าวดีว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและธนาคารอิสลามฯ กำลังจะเปิดบริการ Islamic Index ในเร็วๆนี้ เพื่อบริการการลงทุนในตลาดหุ้นที่ถูกต้องตามหลักการศาสนาอิสลาม ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเกินรอ
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการตามนโยบายการพื้นฟูและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
• โครงการสินเชื่อสู่ผู้ประกอบการท่องเที่ยววงเงินสินเชื่อ มูลค่า 5,000 ล้านบาท
• โครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจใน 3 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ประกอบด้วย
- โครงการสินเชื่อเพื่อทดแทน Soft Loan มูลค่า 5,000 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 8 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมอาชีพ มูลค่า 200 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนธุรกิจสหกรณ์ออมทรัพย์อิสลาม 2,000 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 1,000 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนโครงการธุรกิจ SME 2,000 ล้านบาท
- โครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ 3 จังหวัดชายแดนใต้ของธนาคารแห่งประเทศไทย 500 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนโครงการธุรกิจฮาลาล 2,000 ล้านบาท
ซึ่งทั้งนี้ยังมีโครงการอื่นๆอีกมากมาย โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ibank.co.th หรือสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ อาคารคิวเฮ้าส์ อโศก ถนนสุขุมวิท 21 และมีสาขารวม 26 สาขาทั่วประเทศ โทร.0-2-650-6999 - สำนักข่าวมุสลิมไทย
ธอท.เปิดโครงการสินเชื่อซับน้ำตา 3 ผลิตภัณฑ์ หวังแบ่งเบาภาระผู้บริโภคช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
ธนาคาร อิสลามแห่งประเทศไทย เปิดโครงการสินเชื่อซับน้ำตา ด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ สินเชื่อเพื่อไถ่ถอน หรือเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ที่ให้วงเงินสูงสุดถึง 110% ปลอดเงินต้น 3 ปี และสินเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต/สินเชื่อบุคคล ที่สามารถเลือกผ่อนชำระได้นานถึง 6 ปี พร้อมปลอดชำระเงินต้นได้สูงสุด 6 เดือน หวังช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ผู้บริโภค
นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น เพราะสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะชะลอการปล่อยสินเชื่อ ประกอบกับหลายอุตสาหกรรมมีการเลิกจ้างงาน ทำให้ผู้บริโภคมีปัญหาภาระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วน นี้ธนาคารอิสลามได้ให้ความร่วมมือในการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ ในการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยการออกโครงการสินเชื่อซับน้ำตา เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ให้กับผู้บริโภค
สำหรับโครงการสินเชื่อซับน้ำตา ประกอบไปด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ คือ ผลิตภัณฑ์ทีหนึ่ง สินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่อยู่อาศัย มีวัตถุประสงค์เพื่อไถ่ถอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง บ้าน ทาวเฮาส์ อาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของตนเองและครอบครัวจากสถาบันการเงินอื่น ให้วงเงินสูงสุด 110% ของภาระหนี้คงเหลือ
ผลิตภัณฑ์ที่สอง คือ สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ให้วงเงินสูงสุดไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ จะกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 30 ปี และสามารถขอปลอดชำระเงินต้นได้สูงสุด 3 ปี
นาย ธีรศักดิ์ กล่าวอีกว่า สินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย จะคิดอัตรากำไรแบบคงที่พิเศษต่ำสุด ปีที่ 1 คิดอัตรากำไร 4.25% ปีที่ 2 และ 3 อัตรากำไร 6.00% พร้อมปลอดเงินต้น 3 ปี
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่สาม คือ สินเชื่อรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เพื่อไถ่ถอนหนี้บัตรเครดิตหรือหนี้ส่วนบุคคลจากสถาบันการเงินอื่น วงเงินไม่เกิน 100% ของภาระหนี้คงเหลือรวมทั้งหมดในกรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์มากกว่า 1 วงเงิน แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ซึ่งหากมีบุคคลค้ำประกันสามารถเลือกปลอดชำระเงินต้นได้สูงสุด 6 เดือน และมีระยะเวลาชำระสูงสุด 6 ปี อัตรากำไร SPRR+7.75%
“การออก โครงการสินเชื่อซับน้ำตา เชื่อว่าจะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และแบ่งเบาภาระหนี้ให้กับผู้บริโภคได้ ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสถาบันการเงินรัฐวิสาหกิจก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน นโยบายรัฐบาลในการแบ่งเบาภาระหนี้ภาคประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม โดยโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม 2552” นายธีรศักดิ์ กล่าว
สำนักข่าวมุสลิมไทย : ธอท.เปิดโครงการสินเชื่อซับน้ำตา 3 ผลิตภัณฑ์ หวังแบ่งเบาภาระผู้บริโภคช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
www.muslimthai.com
วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552
สารพันปัญหาว่าด้วยการเงินการธนาคาร(Banking and Financial)
ถาม ไม่เป็นการผิดหรือที่พ่อค้าจะขายสินค้าด้วยเงินสดราคาหนึ่งและเงินผ่อนอีกราคาหนึ่ง กฎหมายอิสลามมีข้อกำหนดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?
ตอบ มติเอกฉันท์ของนักวิชาการอิสลามถือว่าการขายโดยการผ่อนชำระเป็นที่อนุญาตตาม หลักกฎหมายอิสลามถึงแม้ว่าราคาขายแบบผ่อนชำระจะสูงกว่าราคาขายสด
และเรื่องนี้ได้ผ่านมติรับรองโดยที่ประชุมวิชาการนิติศาสตร์อิสลามที่มีขึ้นที่เมืองญิดด๊ะฮฺระหว่างวันที่ 17-23 เดือนชะอ์บาน ฮ.ศ.1410 หรือตรงกับวันที่ 14-20 มีนาคม ค.ศ.1990 มติเกี่ยวกับเรื่องนี้มีดังนี้
ประการแรก
อนุญาตให้กำหนดราคาเพิ่มสำหรับสินค้าที่ขายแบบผ่อนชำระ นอกจากนี้แล้วก็ยังอนุญาตให้บอกราคาที่แตกต่างกันสำหรับการขายเงินสดและการ ขายแบบผ่อนชำระถึงแม้ว่าราคาผ่อนชำระจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ก็ตาม
แต่การขายไม่สามารถเกิดขึ้นได้จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงเรื่องวิธีการจ่าย เงินและระบุว่าจะจ่ายเป็นเงินสดหรือผ่อนชำระ ดังนั้น ถ้าหากการขายเกิดขึ้นโดยไม่ได้ระบุวิธีการจ่ายให้ชัดเจนและปล่อยให้เกิดความ ไม่แน่ใจว่าผู้ซื้อจะจ่ายเป็นเงินสดหรือผ่อนชำระเป็นงวด การขายนั้นก็ไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายอิสลาม
ประการที่สอง
ตามหลักกฎหมายอิสลาม ในการขายแบบผ่อนชำระ ไม่อนุญาตให้ระบุราคาขายสดและราคาผ่อนชำระไว้ในสัญญา
ประการที่สาม
ถ้าผู้ซื้อ/ลูกหนี้ล่าช้าในการผ่อนชำระหลังจากวันที่ได้กำหนดไว้แล้ว ไม่อนุญาตให้คิดเงินเพิ่มนอกเหนือไปจากหนี้ที่ค้างชำระอยู่ไม่ว่าจะกำหนด เป็นเงื่อนไขล่วงหน้าไว้ในสัญญาหรือเรียกร้องโดยไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อนล่วง หน้า เพราะนี่คือริบาซึ่งเป็นที่ต้องห้าม
ประการที่สี่
เป็นที่ต้องห้ามสำหรับลูกหนี้ที่ไม่มีภาระหนี้สินจะล่าช้าในการจ่ายค่างวดเมื่อถึงเวลากำหนด อย่างไรก็ตาม หลักนิติศาสตร์อิสลามก็ไม่อนุญาตให้กำหนดค่าชดใช้เมื่อมีการจ่ายล่าช้า
ประการที่ห้า
ตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม อนุญาตให้ผู้ขายกำหนดเงื่อนไขในการขายผ่อนชำระว่าหากลูกหนี้หรือผู้ซื้อจ่าย เงินบางงวดล่าช้า เงินค่างวดที่ยังค้างอยู่จะต้องจ่ายทันทีก่อนวันที่ได้ตกลงกันไว้ เงื่อนไขนี้เป็นเงื่อนไขที่ใช้ได้ถ้าผู้ซื้อหรือลูกหนี้ได้ตกลงไว้ในตอนตกลง ซื้อขาย
ประการที่หก
ผู้ขายไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปถือกรรมสิทธิ์(ในสินค้าที่ถูกขายไป)หลังจากที่ การขายได้เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ขายได้รับอนุญาตให้กำหนดเงื่อนไขว่าผู้ซื้อจะต้องจำนองสินค้าไว้กับผู้ ขายเพื่อที่จะเป็นหลักประกันสิทธิของตนในการที่จะได้รับชำระค่างวด นอกจากนั้นแล้ว มติของที่ประชุมทางวิชาการนิติศาสตร์อิสลามที่จัดขึ้นที่เมืองญิดด๊ะ ฮฺระหว่างวันที่ 7-12 เดือนซุลเกาะอ๊ะฮฺ ฮ.ศ.1412 ตรงกับวันที่ 9-14 พฤษภาคม ค.ศ.1992 ก็กล่าวว่า
1. การขายโดยวิธีการผ่อนชำระเป็นที่อนุญาตตามหลักกฎหมายอิสลามถึงแม้ราคาผ่อนส่งจะสูงกว่าราคาขายสด
2. เอกสารทางการค้า เช่น เช็ค หนังสือมอบอำนาจ ใบถอนเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินและตั๋วแลกเงิน เป็นรูปแบบของการยืนยันการเป็นหนี้สินที่ถูกต้อง
3. การซื้อลดเอกสารทางการค้าไม่เป็นที่อนุญาตตามหลักกฎหมายอิสลามเพราะมันเท่า กับการทำธุรกรรมเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยอันนาซิอ๊ะฮฺ (ดอกเบี้ยที่เกิดจากการจ่ายล่าช้า) ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามอย่างชัดเจน
4. การลดหนี้ผ่อนชำระเพื่อเร่งให้จ่ายเงินคืนเร็วขึ้น (จ่ายน้อยแต่จ่ายก่อนเวลา) ไม่ว่าจะเป็นการร้องขอของเจ้าหนี้หรือของลูกหนี้เป็นที่อนุญาตตามหลักกฎหมาย อิสลาม วิธีการนี้ไม่ตกอยู่ในข่ายของดอกเบี้ยที่เป็นสิ่งต้องห้าม ถ้าหากว่าไม่ได้มีการตกลงล่วงหน้ากันไว้ก่อนและตราบใดที่เป็นเรื่องความ สัมพันธ์สองฝ่ายระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ถ้าหากมีฝ่ายที่สามขึ้นมา การลดหนี้ไม่เป็นที่อนุญาตเพราะหากเป็นเช่นนั้นกฎระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็จะเหมือนกับการซื้อลดเอกสารทางการค้า
5. อนุญาตให้สองฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินตกลงกันว่าเงินผ่อนชำระทั้งหมดจะ ต้องจ่ายเมื่อครบกำหนดเวลาถ้าหากลูกหนี้ไม่ยอมจ่ายค่าผ่อนชำระงวดหนึ่งงวดใด ที่เขายังเป็นหนี้อยู่ตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นบุคคลล้มละลาย
6. ถ้าหากถึงเวลากำหนดแล้ว ลูกหนี้เสียชีวิต ล้มละลายหรือผัดหนี้ จะต้องมีการลดหนี้เพื่อเร่งให้มีการจ่ายคืนโดยการยินยอมร่วมกัน
7. เกณฑ์ตัดสินการล้มละลายที่จะนำมาใช้ก็คือลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินใดเกินกว่า ความจำเป็นขั้นพื้นฐานซึ่งคนเหล่านี้จะต้องได้รับการปลดหนี้
ผู้เขียนบทความ : บรรจง บินกาซัน
ข้อสงสัยในการทำสัญญาตามหลักการอิสลาม
ถาม อะกั๊ด หมายถึงอะไร ?
ตอบ คำว่า “อะกั๊ด” (عقد พหูพจน์ คือ عقود) ในภาษาอาหรับหมายถึงความผูกพันทางกายภาพระหว่างสองฝ่าย
นักนิติศาสตร์มีคำจำกัดความ 2 อย่างสำหรับคำว่าอะกั๊ด ดังนี้
คำจำกัดความแรกครอบคลุมทุกสิ่งที่นำไปสู่ความผูกพันหรือความสัมพันธ์ ระหว่างสองฝ่ายหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ดังนั้น ตามคำจำกัดความนี้ อะกั๊ดจึงรวมถึงการซื้อและการขาย การขอร้อง การจำนำ เป็นต้น และอะกั๊ดของฝ่ายหนึ่งจะหมายถึงการชำระหนี้ด้วย
คำจำกัดความที่สองของคำว่าอะกั๊ดก็คือการกระทำที่ต้องอาศัยเจตนาของสอง ฝ่าย คำจำกัดความนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักนิติศาสตร์อิสลาม การกระทำของสองฝ่ายนี้รวมถึงการซื้อ/ขาย การแลกเปลี่ยนเงินตรา การทำสัญญามุฎอรอบ๊ะฮ์ (แบ่งกำไรและขาดทุน) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม (ภายใต้คำจำกัดความนี้) การกระทำที่ทำโดยฝ่ายเดียว เช่น การหย่าภรรยาหรือการชำระหนี้ เดิมทีแล้วจึงไม่ใช่อะกั๊ดถึงแม้ว่ามันจะมีผลตามกฎหมายก็ตาม
นักนิติศาสตร์อิสลามส่วนใหญ่กล่าวว่าอะกั๊ดประกอบด้วยคำกล่าวเสนอ คำตอบรับและสิ่งที่เสนอ ทั้งสามนี้เรียกว่าหลักหรือหลักการพื้นฐานของอะกั๊ด
เพื่อให้เป็นไปตามหลักการพื้นฐานดังกล่าว จำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ประการแรก : การเสนอและการตอบรับ
1) ทุกข้อเสนอและคำตอบรับจะต้องแสดงเจตนาของคู่สัญญาอย่างชัดเจน ดังนั้น คู่สัญญาจะต้องเป็นผู้ที่เหมาะสมและมีความสามารถที่จะทำสัญญา คนที่มีสติไม่สมประกอบ คนวิกลจริตและเด็กเล็กไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะทำสัญญา (ซึ่งทำให้สัญญาไม่ถูกต้องและใช้ไม่ได้) เพราะคนเหล่านี้ไม่มีความสามารถที่จะแสดงเจตนารมณ์ในการทำสัญญา
2) มีการเสนอและการตอบรับที่ถูกต้องและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น นาย ก. ขายรถยนต์ให้แก่นาย ข. ในราคา 500,000 บาท และนาย ข.ตกลงตามข้อเสนอของนาย ก. และราคาที่นาย ก.เสนอด้วย
3) การตอบรับจะต้องทำทันทีหลังจากที่มีการเสนอ นี่หมายความว่าการตอบรับจะต้องกระทำในสถานที่เดียวกันนั้น (สถานที่และเวลาของการแลกเปลี่ยน) โดยไม่ปล่อยให้มีช่วงเวลามาขวางกั้นโดยไม่จำเป็นระหว่างการเสนอและการตอบรับ ในหนังสือ “อัลฟิกฮฺ อัลอิสลามี วะอาดิละตุฮา” เล่ม 4 หน้า 106-111 ดร.วะฮ์บะฮ์ อัซซุฮัยลี ได้กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าฝ่ายหนึ่งไม่อยู่ในสถานที่และเวลาของการทำอะกั๊ด อะกั๊ดก็สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อฝ่ายหนึ่งได้รับทราบความประสงค์ของอีกฝ่าย หนึ่งไม่ว่าจะโดยจดหมาย ตัวแทน โทรศัพท์หรือการติดต่อสื่อสารอย่างอื่นๆที่ทันสมัยกว่า เช่น โทรสาร หรืออีเมล์ เป็นต้น
ประการที่สอง : สิ่งที่นำมาทำสัญญา สิ่งที่นำมาทำสัญญาหมายถึงสิ่งที่เป็นที่มาของอะกั๊ด ซึ่งมี 7 รูปแบบด้วยกัน คือ
1) อะกั๊ดที่ให้กรรมสิทธิ์ ( عقود التمليكات) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.1 อะกั๊ดที่ให้สิทธิ์โดยการแลกเปลี่ยนร่วมกัน ( عقود المعاوضات) เช่น การซื้อและขาย การเช่าและการแต่งงาน เป็นต้น
1.2 อะกั๊ดที่ให้สิทธิ์โดยไม่คิดสิ่งใดตอบแทน ( عقود التبرّعات ) เช่น ของขวัญ การบริจาคและการวะกั๊ฟ (การอุทิศทรัพย์สินให้เป็นสารธารณประโยชน์)
2) อะกั๊ดที่ปล่อยกรรมสิทธิ์ ( عقود الاسقاطات ) เช่น การให้สิทธิ์ในการนำเงินที่ยืมไปใช้ และการหย่า
3) อะกั๊ดที่ให้อนุญาต ( عقودالاطلاقات ) เช่น การแต่งตั้งตัวทน (อัลวะกาละฮฺ) การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ (อัตเตาลีอ๊ะฮ์)
4) อะกั๊ดที่มีข้อจำกัด ( عقود التّقييدات ) เช่นข้อกำหนดที่ใช้กับผู้ล้มละลาย และการเพิกถอนการแต่งตั้ง
5) อะกั๊ดเป็นเอกสารที่ให้ความเชื่อมั่น ( عقود التَّوثِيْقات ) เช่น ความแน่นอนและการจำนำ
6) อะกั๊ดการมีส่วนร่วมกัน ( عقود الاشتراك ) เช่น สัญญามุชารอก๊ะฮ์ และสัญญามุฎอรอบ๊ะฮ์
7) อะกั๊ดดูแลรักษา ( عقود الحفظ ) เช่น สัญญาวาดิอ๊ะฮ์
สัญญาหรืออะกั๊ดเหล่านี้ต่างมีเงื่อนไขต่างๆของมันเอง ดังนี้
1. สิ่งที่จะนำมาทำสัญญาจะต้องไม่ขัดกับเจตนารมณ์ของอะกั๊ดเองและจะต้องเป็นไป ตามกฎของศาสนา เช่น ไม่ใช่ซากสัตว์ สื่งมึนเมา หรือสุกร เป็นต้น
2. สิ่งที่จะนำมาทำสัญญาจะต้องมีอยู่ในตอนที่ทำสัญญา อย่างไรก็ตาม นักนิติศาสตร์อิสลามทั้งหมดก็เห็นพ้องต้องกันว่าเงื่อนไขนี้ไม่ใช่เงื่อนไข เบ็ดเสร็จสำหรับทุกสัญญา
นักนิติศาสตร์อิสลามในสำนักฮันบะลีมีความเห็นว่าอะไรบางอย่างที่ไม่มี อยู่ก็อาจเป็นสิ่งที่นำมาใช้ทำสัญญาได้โดยมีเงื่อนไขว่าคู่สัญญาที่เกี่ยว ข้องสามารถที่จะทำสิ่งนั้นหลังจากที่ทำสัญญาแล้วก็ได้ สิ่งที่สำคัญในการทำสัญญาก็คือจะต้องไม่มีความเสี่ยงใดๆและฝ่ายที่เกี่ยว ข้องสามารถที่จะส่งมอบสิ่งที่ทำสัญญาในเวลาที่กำหนดได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสำคัญหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เงื่อนไข ดังนั้น สัญญาเช่า การแบ่งกำไรและการซื้อขายผลไม้ที่ยังไม่สุกก็ถือว่าใช้ได้เพราะว่าไม่มีความ เสี่ยง การห้ามซื้อสิ่งที่ไม่มีอยู่ตามคำพูดของท่านนบีมุฮัมมัดที่กล่าวว่า “อย่าขายสิ่งที่ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของ” นั้นหมายถึงสิ่งที่ผู้ขายไม่สามารถส่งมอบแก่ผู้ซื้อ ไมได้หมายถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่ (อิบนุกุดามะฮ, อัลมุฆนี เล่ม 4 หน้า 2000)
3. สิ่งที่ทำสัญญาจะต้องเป็นที่รู้ของทั้งสองฝ่าย
4. สิ่งที่ทำสัญญาจะต้องส่งมอบแก่คู่สัญญาตามเวลาที่กำหนดไว้
ประการที่สาม :
คู่สัญญาจะต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมและมีความสามารถที่จะเข้าร่วมสัญญาได้ หมายความว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องรับผิดชอบในสัญญาได้ นั่นคือ มีสติสมประกอบ เป็นผู้ใหญ่และรู้จักใช้สติปัญญาได้แล้ว คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่ถูกห้ามจากการซื้อขายแลกเปลี่ยน และทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่ถูกบังคับโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้ทำสัญญาดังกล่าว
ถาม สัญญา (อะกั๊ด) จะเกิดขึ้นได้อย่างไรในโลกไอทีปัจจุบัน ?
ตอบ การพัฒนาในโลกปัจจุบันได้ทำให้อินเตอร์เนตกลายเป็นสื่อของการ แลกเปลี่ยนในศตวรรษที่ 21 เป็นแหล่งของข้อมูลข่าวสารอันหลากหลาย เป็นระบบสื่อสารที่รวดเร็วและค่าใช้จ่ายต่ำ เป็นเครือข่ายของโลก เป็นการสร้างโลกไซเบอร์ที่จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เปิดโอกาสให้มีการทำ ธุรกิจได้กว้างขวางขึ้น
ด้วยอินเตอร์เนตนี่เองที่ก่อให้เกิดวิธีการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจที่ เรียกว่า อีแบ๊งค์กิ้ง (ธนาคารอีเล็คโทรนิก) อีคอมเมิร์ซ (การพาณิชย์อีเล็กโทรนิก) อีอินชัวรันซ์ (ประกันภัยอีเล็กโทรนิก) ซึ่งสถาบันทางการเงินและตลาดหุ้นนำมาใช้ เท่าที่ผ่านมา เครื่องมือติดต่อสื่อสารทางธุรกิจเหล่านี้เป็นที่รู้กันดีว่ามีประสิทธิภาพ และประสบผลสำเร็จ
ก่อนที่จะมีการติดต่อสื่อสารดังกล่าว โลกเราก็เคยมีการติดต่อสื่อสารอื่นๆ ในทำนองนี้มาแล้ว เช่น โทรศัพท์ โทรสาร เป็นต้น
กฎของชะรีอ๊ะฮฺในเรื่องการติดต่อสื่อสารสมัยใหม่
หนังสือ “อัลฟิกฮฺ อะลา มะซาฮิบ อัลอัรฺบะอ๊ะฮฺ” เล่ม 2 กล่าวว่าอิสลามกำหนดว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนจะต้องวางพื้นฐานอยู่บนสัญญา (อะกั๊ด) ซึ่งเป็นความผูกพันระหว่างฝ่ายเสนอและฝ่ายตอบรับ
ในการจะเข้ามาร่วมทำสัญญานั้นมีหลักการที่จะต้องปฏิบัติตาม 3 ประการดังนี้ คือ
1) มีคู่สัญญาสองฝ่าย
2) วัตถุประสงค์ของสัญญา
3) การกล่าวคำสัญญา (การเสนอและตอบรับ) เมื่อมีผู้ซื้อ ผู้ขาย สินค้า(สิ่งของ) และข้อความที่ระบุถึงข้อเสนอและการตอบรับ กล่าวคือ เมื่อทั้งสองฝ่ายพึงพอใจกับประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับจากการทำธุรกรรมแล้ว การทำธุรกรรมนั้นก็ถือว่าเป็นที่ถูกต้องเว้นเสียแต่ว่าการทำธุรกรรมนั้นไม่ สอดคล้องกับหลักกฎหมายอิสลาม
อะกั๊ดอาจมี 2 รูปแบบ คือ
1) อะกั๊ดโดยวาจา
2) อะกั๊ดเป็นลายลักษณ์อักษร
ตัวอย่างของสัญญาด้วยวาจาก็คือสัญญาที่ทำกันทางโทรศัพท์ สัญญาเช่นนี้ได้รวมอยู่ในความหมายของคำว่า “สถานที่และเวลา” (มัจญ์ลิส) สำหรับการทำสัญญาด้วย ดังนั้น การไปปรากฏตัวในสถานที่หนึ่งที่ใดจึงไม่จำเป็น รูปแบบของสัญญาประเภทนี้เริ่มด้วยการตอบรับโทรศัพท์ของฝ่ายหนึ่งและจบลงด้วย การตกลงทางโทรศัพท์ของอีกฝ่ายหนึ่ง
ตัวอย่างของสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็คือแฟกซ์ อีแบ๊งค์กิ้ง อีเมล์ เป็นต้น การทำสัญญาจะถูกต้องใช้ได้ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามหลักการของสัญญาซึ่งทำ ให้มันแตกต่างไปจากการเป็นเพียงข้อตกลง สถานที่และเวลาสำหรับการทำสัญญา (มัจญ์ลิส) เริ่มต้นเมื่อสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรได้ถูกอีกฝ่ายหนึ่งตอบรับหลังจาก ที่ได้รับตอบตกลง
บนพื้นฐานดังกล่าวมาก็ไม่มีข้อห้ามใดๆที่จะทำสัญญาโดยการติดต่อสื่อสารสมัยใหม่ในโลกธุรกิจปัจจุบัน
ความจริงแล้ว อิสลามก็ยอมรับสัญญาที่ทำกันด้วยอินเตอร์เนต ในที่ประชุมวิชาการนิติศาสตร์อิสลามซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-23 เดือนชะอ์บาน ฮ.ศ.1410 (ตรงกับวันที่ 14-20 มีนาคม 1990) ได้กล่าวว่า :-
ประการแรก : ถ้าสองฝ่ายทำสัญญากันโดยไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในที่หนึ่ง และไม่สามารถได้ยินหรือเห็นกัน แต่ติดต่อกันโดยการเขียนหรือโดยการใช้เครื่องมือสื่อสารซึ่งรวมทั้งโทรเลข เทเล็กซ์ แฟกซ์หรือคอมพิวเตอร์ สัญญานั้นจะถือว่าสมบูรณ์เมื่อการเสนอได้ถูกติดต่อสื่อสารไปยังฝ่ายที่ ตั้งใจไว้และการยอมรับได้ถูกสื่อสารไปยังผู้ที่ได้ทำการเสนอแล้ว
ประการที่สอง : ถ้าสองฝ่ายทำสัญญากันในเวลาเดียวกัน แต่ทั้งสองฝ่ายอยู่ต่างสถานที่กัน เช่นในกรณีของการทำสัญญาทางโทรศัพท์และวิทยุ ก็ถือว่านั่นเป็นสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายปรากฏตัวอยู่ ในกรณีนี้ ให้นำกฎดั้งเดิมที่นักนิติศาสตร์มุสลิมกำหนดไว้มาใช้
ประการที่สาม : ถ้าหากใครคนหนึ่งอาศัยเครื่องมือเหล่านี้เพิ่มข้อเสนอภายในระยะเวลาที่กำหนด ไว้ เขาจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอของเขาตลอดระยะเวลานั้นและไม่สามารถถอนสัญญาได้
ประการที่สี่ : หลักการทำสัญญา 3 ประการที่กล่าวไว้ข้างต้นไม่ครอบคลุมสัญญาแต่งงาน (เพราะการมีพยาน 2 คนเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับการทำให้สัญญามีผลถูกต้อง) และไม่รวมไปถึงสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตรา (เพราะมันต้องอาศัยการเป็นเจ้าของ) และไม่ครอบคลุมถึงสัญญาซื้อขายแบบ “สะลัม"(เพราะว่ามันกำหนดให้มีการจ่ายราคาทุนทันที)
ประการที่ห้า : ในเรื่องของความเป็นไปได้ที่จะมีการปลอม การบิดเบือนหรือการทำผิดนั้นจะต้องอาศัยกฎทั่วไปเกี่ยวกับหลักฐาน
ผู้เขียนบทความ : อ.บรรจง บินกาซัน
รุกขยายตลาดฮาลาลในอเมริกาเหนือ
‘มะกัน-อียู’ ฟุบ กลุ่มตะวันออกกลางอนาคตสดใส

เกษตรฯ รุกขยายตลาด “สินค้าฮาลาล” ในทวีปอเมริกาเหนือ ชี้โอกาสส่ง ออกสูง เพราะกฎระเบียบไม่เข้ม ขณะที่ตุรกี ซูดาน โอมาน น่าสนใจอนาคตสดใส
นาง สาวเมทนี สุคนธรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ปี 2552 นี้ มกอช.ได้มีแผนส่งเสริมผลักดันการส่งออกสินค้าฮาลาลไปยังทวีปอเมริกาเหนือ ทั้งในประเทศแคนาดาและสหรัฐ อเมริกา ซึ่งผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ มีประชากรมุสลิมรวมกันมากกว่า 10 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีแนวโน้มค่อนข้างสดใส ประเทศไทยจึงมีโอกาสสูงที่จะขยายตลาดสินค้าฮาลาลเนื่องจากไทยมีความสามารถใน การผลิตสินค้าให้เป็นไปตามศาสนบัญญัติ รวมทั้งมีคุณภาพและราคาที่สามารถแข่งขันได้ทั้ง สินค้าที่เป็นอาหาร เช่น ไก่ปรุงสุก ซอสปรุงรส เครื่องดื่ม และน้ำผลไม้ รวมทั้งสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร เช่น เครื่องสำอางและ เสื้อผ้า เป็นต้น - สยามธุรกิจ
เกษตรฯรุกขยายตลาดสินค้า"ฮาลาล"ไปทวีปอเมริกาเหนือ
นางสาวเมทนี สุคนธรักษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ปี 2552 นี้ มกอช.ได้มีแผนส่งเสริมผลักดันการส่งออกสินค้าฮาลาลไปยังทวีปอเมริกาเหนือทั้งในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ มีประชากรมุสลิมรวมกันมากกว่า 10 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีแนวโน้มค่อนข้างสดใส ประเทศไทยจึงมีโอกาสสูงที่จะขยายตลาดสินค้าฮาลาลเนื่องจากไทยมีความสามารถใน การผลิตสินค้าให้เป็นไปตามศาสนบัญญัติ รวมทั้งมีคุณภาพและราคาที่สามารถแข่งขันได้ทั้งสินค้าที่เป็นอาหาร เช่น ไก่ปรุงสุก ซอสปรุงรส เครื่องดื่ม และน้ำผลไม้ รวมทั้งสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร เช่น เครื่องสำอางและเสื้อผ้า เป็นต้น
มกอ ช.ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งศึกษากฎระเบียบและเงื่อนไขการนำเข้า รวมถึงการตลาดสินค้าอาหารฮาลาลในทวีปอเมริกาเหนือ รวมทั้งยังได้ร่วมมือกับ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำสหรัฐอเมริกาเชิญเลขาธิการสมาคมอิสลามแห่งอเมริกาเหนือ (ISNA) เดินทางมาดูระบบการผลิตและตรวจสอบสินค้าฮาลาลของไทย ผลปรากฏว่า ISNA มีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการผลิต จึงได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับสถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ในการยอมรับมาตรฐานของตราสัญลักษณ์ฮาลาลไทย รวมทั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการตรวจสอบสินค้าฮาลาลที่สำคัญของไทย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการขยายตลาดฮาลาลในอเมริกาเหนือ
“ขณะ นี้ไทยกำลังเร่งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของตลาดสินค้าอาหารฮาลาล ทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เช่น รสนิยม พฤติกรรมการบริโภค ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถผลิตสินค้าอาหารฮาลาลเจาะตลาดได้ตรงความต้องการของ ผู้บริโภคในทวีปอเมริกาเหนือ รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้ตราสัญลักษณ์ฮาลาลร่วมกัน เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ใน ตราสัญลักษณ์ของไทย ด้วย นอกจากนี้แคนาดาและสหรัฐฯ ไม่ได้กำหนดกฎระเบียบการนำเข้าสินค้าฮาลาลเป็นมาตรการภาคบังคับ และไม่ต้องตรวจสอบกระบวนการผลิตก่อนส่งออก ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงโดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ซึ่งคาดการณ์ว่ามีมูลค่าสินค้าฮาลาลสูงถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี หรือกว่า 396,000 ล้านบาท ขณะที่สินค้าไก่และผลิตภัณฑ์ในแคนาดาก็มีแนวโน้มสดใสเช่นกัน” นางสาวเมทนี กล่าว
นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน ผู้อำนวยการกองนโยบายมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร มกอช.กล่าวว่า ถึงแม้ผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (EU) จะได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย ในส่วนของตลาดสินค้าฮาลาลคงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยังมีแนวโน้มดีเพราะกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมก็สามารถรับประทานได้ ซึ่งปีนี้ไทยยังมีโอกาสขยายและเปิดตลาดในกลุ่มตะวันออกกลางได้เพิ่มขึ้น อาทิ ประเทศตุรกี ซูดาน และโอมาน มีความน่าสนใจและเป็นไปได้สูงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับสินค้าอาหารฮาลาลไทย จำเป็นต้องเร่งศึกษาการตลาดเพิ่มเติมโดยเฉพาะเรื่องรสนิยมของผู้บริโภค เพื่อผู้ประกอบการจะได้ผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งจะช่วยผลักดันส่งออกสินค้าฮาลาลไทยไปสู่ตลาดโลกได้เพิ่มสูงขึ้น
source : matichon