ตะกาฟุล ธุรกิจประกันในอิสลาม
นอกจากอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค หรือที่เรียกว่าปัจจัยสี่จะมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์แล้ว มนุษย์ยังต้องการหลักประกันความมั่นคงปลอดภัยในการดำรงชีวิตและการดำเนินธุรกิจการค้าของตนด้วย ดังนั้น นับตั้งแต่อดีต มนุษย์จึงหาหนทางที่จะสร้างความมั่นคงปลอดภัยและมาตรการบรรเทาความสูญเสียต่างๆในการดำรงชีวิตและการทำธุรกิจของตนหลากหลายวิธี เช่น จ้างคนคุ้มครอง จ่ายส่วยให้แก่เจ้าเมือง เก็บรักษาพืชผลหรือผลผลิตของตัวเองไว้เพื่อใช้ในยามขาดแคลน เป็นต้น
สัญชาตญาณในการเตรียมตัวเพื่อความมั่นคงปลอดภัยและบรรเทาภาระความเดือดร้อนนี้มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตแม้แต่สัตว์ เช่น มดรู้จักสะสมเสบียงไว้ในภาวะขาดแคลน คนป่าหันมาปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นหลักประกันความไม่แน่นอนในอนาคต แม้แต่นบียูซุฟเองก็สะสมเมล็ดข้าวไว้เตรียมพร้อมสำหรับภาวะขาดแคลนที่จะเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 ปีตามคำทำนายฝันของท่าน เป็นต้น
ศาสนาก็มีหลักคำสอนที่จะช่วยเหลือสมาชิกในสังคมเช่นกัน เช่น หลักคำสอนเรื่องการทำทานที่มีในทุกศาสนา
นอกจากนี้แล้ว รัฐก็มีหน้าที่หลักในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนของตนด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมประชาชนจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายภาษีให้แก่รัฐ บางประเทศที่ใช้นโยบายรัฐสวัสดิการอย่างเช่นอังกฤษก็ดำเนินนโยบายประกันสังคมโดยการเรียกเก็บภาษี(เบี้ย)ประกันสังคมจากประชาชนในอัตราสูงโดยรัฐรับประกันการรักษาพยาบาลให้ฟรีและมีเงินบำนาญให้หลังการปลดเกษียณ
การประกันภัยก่อนสมัยอิสลาม
ในสมัยก่อนหน้าอิสลาม เมื่อพ่อค้าชาวอาหรับจะนำกองคาราวานออกเดินทางไปค้าขายยังแดนไกล ชาวอาหรับรู้ดีว่าเส้นทางในทะเลทรายมีอันตรายจากทั้งโจรและภัยธรรมชาติ ดังนั้น ก่อนออกเดินทาง พ่อค้าชาวอาหรับก็จะนำเงินส่วนหนึ่งมารวมไว้เป็นกองกลางโดยให้คนที่ไว้ใจได้เป็นผู้ดูแลและตกลงกันว่าถ้าหากพ่อค้าคนใดประสบภัยหรือความเสียหายระหว่างการเดินทางค้าขาย เงินกองกลางนี้จะถูกนำไปช่วยบรรเทาทุกข์หรือความเสียหายให้แก่พ่อค้าคนนั้น หากกองคาราวานเดินทางกลับมาโดยปลอดภัย เงินกองกลางก็จะถูกแบ่งให้ผู้ดูแลเงินส่วนหนึ่งเป็นค่าจ้าง ส่วนที่เหลือก็จะคืนให้แก่สมาชิกผู้จ่ายเงิน วิธีการเช่นนี้ในภาษาอาหรับเรียกว่า "ตะกาฟุล" ซึ่งหมายถึงความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือกันในหมู่คณะ
ประกันภัยกลายเป็นธุรกิจ
เมื่อโลกเจริญก้าวหน้าไปตามกาลเวลาและการดำเนินธุรกิจการค้ามีความสลับซับซ้อนขยายกว้างออกไปมากยิ่งขึ้น รัฐไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน พ่อค้าและนักธุรกิจในการให้หลักประกันความปลอดภัยและการบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างเพียงพอและทันการ ภาระนี้ส่วนหนึ่งจึงถูกปล่อยให้เอกชนเข้ามาดำเนินการกันเองในรูปขององค์กรการกุศลและองค์กรบรรเทาทุกข์ เช่น สมาคมฌาปนกิจ สมาคมสงเคราะห์ต่างๆ และบริษัทประกันภัยซึ่งทำหน้าที่รับประกันวินาศภัยและประกันชีวิตเพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ของรัฐในการดูแลช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ของสมาชิกในสังคม ดังนั้น การประกันภัยจึงกลายเป็นธุรกิจขึ้นมาด้วยความจำเป็นของสถานการณ์
ธุรกิจประกันในมุมมองของอิสลาม
ธุรกิจประกันภัยอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบันนี้มีขึ้นมานานหลายร้อยปีแล้วในประเทศตะวันตกและเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากธุรกิจประกันได้คืบคลานเข้ามาสู่โลกอิสลามจนกลายเป็นความจำเป็นที่ขาดเสียมิได้ในการดำเนินธุรกิจสมัยใหม่เช่นเดียวกับสถาบันการเงินระบบดอกเบี้ยที่ขัดต่อบทบัญญัติศาสนาอิสลาม ดังนั้น ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา นักวิชาการมุสลิมจึงมองธุรกิจประกันจากมุมมองของอิสลามและเห็นว่าธุรกิจประกันโดยหลักการแล้วสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอิสลาม แต่วิธีการดำเนินธุรกิจประกันภัยมีบางสิ่งที่ขัดต่อบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของอิสลาม เช่น
1) ธุรกิจประกันภัยสมัยใหม่มีเรื่องของความเสี่ยงแบบการพนันอยู่ เช่น ข้อเสนอจะให้เงินชดใช้แก่ผู้ซื้อประกันเป็นวงเงินถึง 1 แสนบาทถ้าหากผู้ซื้อประกันจ่ายเงินเบี้ยประกันจำนวน 100 บาทและเสียชีวิตลงในระยะเวลา 1 ปี แต่ถ้าหากผู้ซื้อประกันไม่เสียชีวิตในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ผู้เอาประกันก็จะสูญเสียเงินนั้นไปเพราะได้ซื้อประกันนั้นไปแล้ว ลักษณะของการประกันดังกล่าวนี้ไม่ต่างอะไรไปจากการซื้อล็อตเตอรี่ที่หากว่าไม่ถูกรางวัลก็เสียเงินเปล่า แต่ถ้าหากถูกรางวัลก็ได้รับเงินก้อนโตไป ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากการพนันที่ขัดต่อบทบัญญัติศาสนาอิสลาม
กรณีของการประกันวินาศภัยก็เช่นกัน ถ้าหากผู้เอาประกันซื้อประกันรถยนต์หนึ่งปีและไม่มีอุบัติเหตุหรือรถไม่สูญหายตามเงื่อนไข ผู้เอาประกันก็จะเสียเงินเบี้ยประกันไปและจะได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันในปีถัดไปถ้าหากมีการต่อประกันกับบริษัทเดิม แต่หากเปลี่ยนบริษัทประกันก็จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากส่วนลดนี้ ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุหรือรถยนต์ที่ทำประกันหาย ผู้เอาประกันก็จะได้รับการชดใช้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ถึงแม้ผู้เอาประกันจะได้รับการชดใช้เพื่อบรรเทาทุกข์ แต่สัญญาประกันภัยก็ไม่ต่างอะไรไปจากการพนัน และบริษัทประกันก็ไม่ต่างอะไรไปจาก "เจ้ามือ"
2) เรื่องของความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในระหว่างสัญญา เพราะทั้งผู้เอาประกันและผู้ประกันต่างก็ไม่รู้ว่าอุบัติเหตุหรือความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใด และทรัพย์สินที่เสียหายนั้นมีจำนวนเท่าใด นักวิชาการอิสลามจึงนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นโต้แย้งว่าธุรกิจประกันภัยไม่ใช่การซื้อขายในความหมายของอิสลามถึงแม้จะใช้คำว่า "ซื้อประกัน" "ขายประกัน" ก็ตาม เพราะในการซื้อขายตามหลักของอิสลามนั้น ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรู้ชัดเจนถึงจำนวนสินค้าและเวลาที่ส่งมอบ แต่ธุรกิจประกันภัยไม่สามารถให้คำตอบได้ในเรื่องนี้
3) ประเด็นที่สำคัญคือบริษัทประกันภัยในปัจจุบันไม่ต่างอะไรไปจากสถาบันการเงินในระบบดอกเบี้ยที่แสวงหากำไรโดยการนำเงินเบี้ยประกันส่วนใหญ่ของลูกค้าไปบริหารเพื่อหารายได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ทำโดยการซื้อพันธบัตร การปล่อยกู้ระยะสั้น การเก็งกำไรในตลาดหุ้นเพื่อเอาดอกเบี้ยและรายได้จากการเก็งกำไรมาจัดสรรเป็นผลประโยชน์แก่ผู้เอาประกันตามที่ตกลงกัน
สรุปแล้ว ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบันจึงมีอะไรที่ขัดต่อบทบัญญัติศาสนาอิสลามมากกว่าธนาคารเสียอีก
ของดีที่ควรเก็บไว้ และของเสียที่ควรแก้ไข
จะเห็นได้ว่าธุรกิจประกันภัยสมัยใหม่มีทั้งสิ่งที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และวิธีการที่ขัดต่อบทบัญญัติศาสนาอิสลามอยู่รวมกัน
สิ่งดีที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอิสลามก็คือการช่วยเหลือกันในหมู่ผู้เอาประกันโดยการจ่ายค่าเบี้ยประกันเพื่อให้บริษัทประกันเป็นผู้บริหารงานรับประกัน แต่เนื่องจากบริษัทประกันเป็นเอกชนและดำเนินธุรกิจ ดังนั้น เป้าหมายของบริษัทประกันก็คือกำไร ยิ่งมีผู้เอาประกันมีจำนวนมาก บริษัทประกันก็ยิ่งมั่นคงและยิ่งเจริญเติบโต เพราะธุรกิจประกันก็เหมือนกับธุรกิจอื่นๆที่ต้องใช้หลัก "จำนวนมาก" เป็นฐานในการทำธุรกิจ ถึงแม้ธุรกิจประกันจะเป็นธุรกิจที่รับความเสี่ยง แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ถูกคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้วว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้และทำกำไรดี เพราะถึงแม้คนจะจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพหรือประกันรถยนต์ แต่ก็ไม่มีใครอยากจะป่วยหรืออยากจะขับรถชนใครหรืออยากให้ใครมาชน ดังนั้น ธุรกิจนี้จึงต้องมีฝ่ายหนึ่งได้และฝ่ายหนึ่งเสีย
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำลายร่องรอยของความเสี่ยงเยี่ยงการพนันนี้ให้หมดไปจากการธุรกิจประกัน ? และทำให้ผู้ที่ร่วมเอาประกันเปลี่ยนความรู้สึกจาก "ความเสี่ยง" มาเป็น "ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" หรือที่ศัพท์ทางวิชาการอิสลามเรียกว่า "ตะกาฟุล"
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ธุรกิจประกันในอิสลาม(Insurance of Islam)
Labels:
ตะกาฟุล,
ธุรกิจประกัน,
ประกันชีวิต,
ประกันภัย,
อิสลาม,
Insurance,
Islam)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น